แบบจำลองอะตอมของทอมสัน

--แบบจำลองอะตอมของทอมสัน

จากการพบว่ามีข้อมูลบางประการไม่สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับอะตอมของดอลตัน นักวิทยาศาสตร์จึงได้ศึกษาเพิ่มเติมและสร้างแบบจำลองอะตอมขึ้นใหม่ แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลที่ให้รายละเอียดภายในอะตอม รวมทั้งมีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคนที่สนใจศึกษาการนำไฟฟ้าของแก๊ส โดยทำการทดลองผ่านไฟฟ้ากระแสตรงเข้าไปในหลอดแก้วบรรจุแก๊สความดันต่ำ เพราะที่ภาวะนี้มีจำนวนอะตอมของแก๊สไม่หนาแน่นทำให้ง่ายต่อการศึกษา พบว่าเมื่อเพิ่มความต่างศักย์ระหว่างขั้วไฟฟ้าให้สูงขึ้นจะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหลอด ขณะเดียวกันก็จะเกิดรังสีพุ่งออกจากแคโทดไปยังแอโนด รังสีนี้เรียกว่า รังสีแคโทด และเรียกหลอดแก้วชนิดนี้ว่า หลอดรังสีแคโทด

เซอร์วิลเลียมครูกส์ เป็นผู้ประดิษฐ์หลอดรังสีแคโทด ใช้ในการทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของแก๊ส เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าศักย์สูงเข้าไปในหลอดรังสีแคโทด จะเกิดรังสีพุ่งออกมาจากขั้วแคโทดไปยังแอโนดซึ่งตรวจสอบได้ด้วยสารเรืองแสง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หลอดรังสีแคโทด
สมบัติของรังสีแคโทด                                                                                               1. รังสีแคโทดสามารถทำให้ฉากเรืองแสงเกิดเรืองแสงได้                                                          2. เมื่อให้รังสีแคโทดอยู่ระหว่างขั้วไฟฟ้า   รังสีแคโทดจะเบนเข้าหาขั้วบวก   แสดงว่ารังสีแคโทด    ประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าเป็นลบ   ซึ่งต่อมาเรียกว่า อิเล็กตรอน                                       3. เมื่อให้รังสีแคโทดอยู่ในสนามแม่เหล็กจะเกิดการเบี่ยงเบนออกจากแนวเส้นตรง                            4. รังสีแคโทดเดินทางเป็นเส้นตรงจากแคโทดไปยังแอโนด  ถ้ามีวัตถุทึบแสงมากั้นทางเดินของรังสีก็      จะทำให้เกิดเงา

การค้นพบอิเล็กตรอน
        เซอร์  โจเซฟ  จอร์น  ทอมสัน  นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษได้สนใจปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในหลอดรังสีแคโทดจึงได้ใช้หลอดรังสีแคโทดศึกษารังสีแคโทด  ในการทดลอง  ทอมสันดัดแปลงหลอดรังสีแดโทดต่างไปจากเดิม  เช่นภายในหลอดมีฉากเรืองแสงและให้รังสีแคโทดผ่านช่องเล็กๆเพื่อให้รังสีแคโทดมีลักษณะเรียวเล็กก่อนที่จะผ่านสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กไปกระทบฉาก    ทอมสันได้ทดลองโดยนำหลอดรังสีแคโทดวางไว้ในสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า  โดยทิศทางของสนามแม่เหล็กตั้งฉากกับสนามไฟฟ้า   เมื่อรังสีแคโทดผ่านสนามไฟฟ้า  รังสีจะเบี่ยงเบนขึ้นด้านบน   เมื่อใส่สนามแม่เหล็กเข้าไป  และเพิ่มอำนาจสนามแม่เหล็กทีละน้อย   จะพบว่ารังสีแคโทดจะเบี่ยงเบนน้อยลง  และในที่สุดรังสีแคโทดจะกลับสู่ตำแหน่งเดิม ของตอนที่ไม่มีสนามไฟฟ้า     ทอมสันคำนวณหาอัตราส่วนประจุต่อมวล  (e/m)  ของอนุภาคไฟฟ้าในรังสีแคโทด
                                    e/m  =  1.759 x  108   คูลอมบ์ต่อกรัม   

           นอกจากนั้นทอมสันยังพบว่าไม่ว่าจะจะเปลี่ยนชนิดของก๊าซหลอด  หรือเปลี่ยนชนิดของโลหะที่ใชทำขั้วแคโทดเป็นชนิดใด  รังสีแคโทดก็ยังมีสมบัติเหมือนเดิม  ค่าประต่อมวลก็คงที่เสมอ    ทอมสันสรุปว่า  อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าลบเป็นองค์ประกอบ ของ อะตอมของธาตุทุกชนิด   เรียกอนุภาคนี้ว่า  อิเล็กตรอน   จากการทดลองของทอมสัน  สรุปได้ว่า  อะตอมไม่ใช่สิ่งที่เล็กที่สุด   แต่อะตอมจะประกอบด้วยอิเล็กตรอน  และอนุภาคอื่นๆอีก
  

การค้นพบโปรตอน
        ออยแกน  โกลด์สไตน์   นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน   ได้แสดงให้เห็นว่า  ถ้ามีการดัดแปลงหลอดรังสีแคโดโดยให้ขั้วแคโทด อยู่เกือบ ตรงกลางและเจาะรูขั้วแคโทด   จะสังเกตเห็นรังสีหลังขั้วแคโทดรังสีนี้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง   เมื่อศึกษาสมบัติตรงข้ามกับรังสีแคโทด    คือเบี่ยงเบนในสนามแม่เหล็กในทิศทางตรงข้ามกับรังสีแคโทด   ในสนามไฟฟ้ารังสีนี้เบี่ยงเบนเข้าหาขั้วลบ  และทำให้ฉากเรืองแสงได้    ทำให้สรุปได้ว่ารังสีที่พบใหม่นี้ประกอบด้วยอนุภาค ที่มีประจุไฟฟ้าบวก  เรียกว่า  รังสีบวก   หรือรังสีแคแนล  อนุภาคบวกนี้เกิดจากอะตอมของก๊าซถูกชนด้วยอนุภาคอิเล็กตรอน   ที่พุ่งออกมาจากแคโทด  ทำให้อิเล็กตรอนหลุดออกจากอะตอม   อะตอมจะกลายเป็นประจุบวก    อนุภาคนี้จึงเคลื่อนที่เข้าหาขั้วลบ   และพบว่าเมื่อเปลี่ยนชนิดของก๊าซที่บรรจุ  อนุภาคนี้จะมีค่าประจุต่อมวลไม่คงที่ขึ้นอยู่กับก๊าซที่บรรจุ    จากการทดลองพบว่าถ้าใช้ก๊าซไฮโดรเเจน   จะอนุภาคบวกที่มีขนาดประจุเท่ากับอิเล็กตรอนและมีค่าประจุต่อมวลสูงสุด   เรียกอนุภาคนี้ว่า  โปรตอน

จากผลการทดลองของทออมสัน   โกลด์สไตน์   ทำให้ทอมสันได้ข้อมูลเกี่ยวกับอะตอมมากขึ้นเขาจึงเสนอแบบจำลองอะตอมว่า " อะตอมมีลักษณะเป็นทรงกลม   ประกอบด้วยโปรตอนซึ่งมีประจุบวกและอิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบ กระจายอยู่ทั่วไปอย่างสม่ำเสมอและในอะตอมที่เป็นกลางทางไฟฟ้าจะมีจำนวนโปรตอนเที่ากับจำนวนอิเล็กตรอน "
  ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แบบจําลองอะตอมของทอมสัน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ การทดลองหยดน้ำมันของมิลลิแกน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น